ปลาสิงโต (
อังกฤษ:
Lionfish, Turkeyfish, Firefish, Butterfly-cod) เป็น
สกุลของ
ปลาน้ำเค็มทะเลสกุลหนึ่ง ใน
วงศ์ปลาแมงป่อง (Scorpaenidae) ใช้ชื่อสกุลว่า
Pterois (/เท-โร-อิส/; มาจาก
ภาษากรีกคำว่า "
πτερον" (pteron) หมายถึง "ปีก" หรือ "ครีบ")
[2]
ลักษณะและพิษ
มีลักษณะทั่วไป คือ มีลำตัวยาวปานกลาง แบนข้างเล็กน้อย หัวมีขนาดใหญ่ ลำตัวปกคลุมด้วยแผ่นกระดูก และมีหนามจำนวนมาก เกล็ดขนาดเล็ก ครีบหลัง และครีบอกขนาดใหญ่แผ่กว้าง โดยทั่วไปครีบอกมีความยาวถึงโคนหาง ก้านครีบแข็งของครีบหลัง และครีบอกมีขนาดใหญ่แหลมคม แต่ละชนิดมีก้านครีบแข็งจำนวนแตกต่างกัน หัวและลำตัวมีแถบลาย
สีน้ำตาลปน
แดง มักว่ายช้า ๆ หรือลอยตัวนิ่ง ๆ ตามแนวปะการัง และบริเวณแนวหินในเขตน้ำตื้นชายฝั่งทั่วไป
เป็นปลาที่มีต่อมพิษที่ก้านครีบแข็งทุกก้าน รวมถึงมีถุงพิษเล็ก ๆ อยู่เต็มรอบไปหมด
[3] โดยจะอยู่ใต้ชั้น
ผิวหนังโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วย
เนื้อเยื่อ พิษเป็นสารประกอบโปรตีน เมื่อแทงเข้าไปแล้ว ถุงพิษเล็ก ๆ นั้นจะแตกกลายเป็นของเหลวเข้าไปในเนื้อเยื่อของเหยื่อ ซึ่งผู้ที่โดนแทงจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของปลาในวงศ์นี้ แต่โดยรวมแล้ว ปลาสิงโตจะมีความรุนแรงของพิษน้อยกว่าปลาสกุลอื่นหรือวงศ์อื่น ใน
อันดับเดียวกัน[4] ผู้ที่โดนต่อมพิษของปลาสิงโตแทงจะมีหลายอาการ ทั้งอัมพาต, อัมพาตชั่วคราว หรือแผลพุพอง
[3]
เป็นปลาที่มีความ
สวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็น
ปลาสวยงาม ปกติไม่บริโภคเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์อยู่ตาม
แนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ ในเขต
อินโด-แปซิฟิก เป็นปลาที่กิน
กุ้งหรือปลาขนาดเล็กชนิดอื่นเป็นอาหาร ด้วยการกางครีบแล้วไล่ต้อนให้จนมุม แล้วใช้ปากฮุบกินไปทั้งตัว ขากรรไกรขยายออกถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้แล้วครีบต่าง ๆ นั้นยังใช้สำหรับกางเพื่อขู่ศัตรูได้ด้วย
[5] นอกจากนี้แล้วปลาสิงโตยังถือเป็นปลาที่ฮุบกินอาหารได้เร็วมากจนตาเปล่าไม่อาจมองทัน ต้องใช้กล้องถ่ายภาพความเร็วสูงที่มีความเร็ว 2,000 เฟรม/วินาที จึงจะจับภาพทัน
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
นอกจากนี้แล้ว ปลาสิงโตยังกลายเป็น
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นใน
ฝั่งทะเลด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะชนิด
ปลาสิงโตปีกจุด (
P. volitans) บริเวณ
แคริบเบียน, ชายฝั่งฟลอริดา และ
หมู่เกาะต่าง ๆ ใน
มหาสมุทรแอตแลนติกไปจนถึงตอนเหนือของบราซิล ตาม
ท่าเรือ,
ชายหาด หรือ
แนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกถึง 600 ฟุต และยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัดว่ามีการแพร่กระจายพันธุ์ข้ามคลองปานามาได้หรือไม่ โดยการพบปลาสิงโตครั้งแรกในฐานะชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเกิดขึ้นในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 2002 ที่ฟลอริดาโดยนักดำน้ำผู้หญิงคนหนึ่งในยามค่ำคืน เมื่อพบกับปลาที่เธอไม่รู้จัก จนกระทั่งต่อมาทราบว่า คือ ปลาสิงโตนั่นเอง
[3] เชื่อว่าเกิดจากการเพาะขยายพันธุ์ของนักเลี้ยงปลาสวยงาม หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท้องถิ่น แล้วปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติหรือหลุดรอดออกมา แต่ในความเห็นของ ดร.
ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้าน
สมุทรศาสตร์ชาวไทยเชื่อว่า คงเกิดจากเรือบรรทุกน้ำมันที่ดูดไข่ปลาสิงโตหรือ
ตัวอ่อนของปลาซึ่งมีสภาพเป็น
แพลงก์ตอนข้ามมหาสมุทรไป
[6] ซึ่งปลาสิงโตสามารถที่จะขยายพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ โดยวางไข่ใน
ป่าชายเลน ปลาหนึ่งตัวภายในเวลาไม่ถึง 30
นาที สามารถกินลูกปลาหรือปลาขนาดเล็กไปได้ถึง 20 กว่าตัวเลยทีเดียว
[7]คิดเป็นร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว กระเพาะอาหารของปลาสิงโตสามารถขยายออกได้ถึง 30 เท่าของขนาดกระเพาะปกติ นอกจากนี้แล้วปลาสิงโตยังเป็นปลาที่มีความสามารถในการสืบพันธุ์สูง ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายเกี้ยวพาดึงดูดปลาตัวเมีย เมื่อตัวเมียตอบรับจะว่ายขึ้นสู่บน ปล่อยไข่ซึ่งเกาะตัวรวมเป็นเหมือนก้อนวุ้นออกมา ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสมพันธุ์และปฏิสนธิ ก้อนวุ้นนี้จะลอยน้ำชั่วระยะ ก่อนจะค่อย ๆ แตกตัวสลายไปเป็นไข่และฟักออกเป็นลูกปลาตามกระแสน้ำไปไกล ปลาสิงโตสามารถวางไข่ได้ทุก ๆ 3-4 วัน โดยปริมาณไข่ในแต่ละครั้งนับแสนฟอง ปลาสิงโตตัวเมียสามารถวางไข่ได้ถึงปีละ 2 ล้านฟอง เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 1-2 ปี
[3] แต่ขณะที่ยังเป็นปลาวัยอ่อน ลูกปลาจะมีสภาพเป็นแพลงก์ตอน และตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นได้
[6] การแพร่ระบาดของปลาสิงโตที่มหาสมุทรแอตแลนติกพบมีปลาสิงโตแทบทุกพื้นที่ จนมีการกำจัดที่
บาฮามาสโดยรัฐบาลที่นั่นเพื่อควบคุมปริมาณในแนวปะการัง รวมถึงมีการแข่งขันจับมารับประทานเป็นอาหาร แต่กระนั้น ปลาสิงโตก็ตกเป็นอาหารของปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น
ปลาเก๋า เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น